ชนชั้นสูงในทวีปยุโรปนั้น
ถือตนว่าเป็นผู้สืบทอดอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของกรีก-โรมัน
ดังนั้น แม้ว่าจะนับถือศาสนาคริสต์
ก็ยังมีความนิยมชมชอบในศิลปะ-สถาปัตยกรรมกรีก-โรมัน
รวมทั้งยังคงเคารพนับถือเทพองค์สำคัญๆ ในลัทธิศาสนาเก่าของชาวกรีก-โรมัน
อย่างไม่เสื่อมคลายอีกด้วย
ซึ่งมหาเทวีอธีนา ก็ทรงเป็นหนึ่งในนั้นครับ
เราอาจจะคิดว่า
ความนิยมชมชอบเช่นนี้คือความโรแมนติก และแรงบันดาลใจที่มาจากวรรณคดีต่างๆ
ซึ่งเทพกรีก-โรมันแทบทั้งหมดที่พบเห็นได้ในศิลปะยุโรปก็เป็นเช่นนั้น
![]() |
Nobility Holding a Statue of Athena
โดย Giovanni Antonio Pellegrini 1675-1751 |
ยกเว้นองค์มหาเทวีอธีนานี่แหละครับ
พระนางปรากฏในศิลปะแขนงต่างๆ ของยุโรป
ไม่น้อยกว่าเทพยดาองค์อื่นเลย แต่เรื่องราวในรูปภาพที่สื่อถึงพระนาง
หรือพระนางทรงเกี่ยวข้องด้วยนั้น ไม่มีเรื่องใดที่เป็นความโรแมนติก
อีกทั้งในหลายๆ เหตุการณ์
ศิลปินผู้วาดภาพยังนำพระนางมาสื่อถึงปรัชญา คุณธรรม และความถูกต้อง
แม้ในท่ามกลางเทพองค์อื่น หรือตัวละครอื่น ที่กำลังมัวเมาในกิเลสตัณหา
นี่เป็นภาพลักษณ์ของพระนาง
ที่ย้อนไปได้ถึงสมัยกรีกโบราณเลยนะครับ
และต่อไปนี้
เป็นตัวอย่างภาพจิตรกรรมโดยศิลปินยุโรป ที่เก่าแก่ไปถึงยุคต้นคริสตศตวรรษที่
16 ซึ่งหมายความว่า
เป็นช่วงเวลาที่ยุโรปเพิ่งจะผ่านพ้นความเข้มงวด
และการกีดกันทางศาสนาจากทางคริสตจักรในยุคกลาง (Medieval)
ภาพจิตรกรรมที่เกี่ยวข้องกับมหาเทวีอธีนานั้น มีมากครับ ผมพยายามรวบรวมเท่าที่น่าสนใจมานำเสนอในบทความนี้ และเมื่อได้ค้นพบภาพใหม่ๆ ก็จะนำมา update อยู่เรื่อยๆ ท่านที่สนใจเรื่องราวของพระนางในแง่นี้ จึงควรจะแวะเวียนเข้ามาดูเป็นระยะนะครับ
ภาพจิตรกรรมที่เกี่ยวข้องกับมหาเทวีอธีนานั้น มีมากครับ ผมพยายามรวบรวมเท่าที่น่าสนใจมานำเสนอในบทความนี้ และเมื่อได้ค้นพบภาพใหม่ๆ ก็จะนำมา update อยู่เรื่อยๆ ท่านที่สนใจเรื่องราวของพระนางในแง่นี้ จึงควรจะแวะเวียนเข้ามาดูเป็นระยะนะครับ
Athena and Arachne
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ เขียนระหว่างปี 1475-85 โดยศิลปินอิตาเลียน
ตินโตเร็ตโต (Tintoretto)
การแข่งขันทอผ้าระหว่างมหาแทวีอธีนา กับ อรัคนี (Αραχίνη) ช่างทอผ้าที่เก่งที่สุดในโลก ซึ่งท้าแข่งทอผ้ากับองค์มหาแทวี
จนถูกสาปให้กลายเป็นแมงมุม เพื่อเป็นตัวอย่างแห่งความกำเริบเสิบสานของเธอต่อไปชั่วกาลนาน
Minerva hunts Vices from the Garden of Virtues
มหาเทวีมิเนอร์วาเนรเทศความชั่วร้ายจากสวนแห่งคุณธรรม
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ เขียนระหว่างปี
1497-1502 โดยศิลปินอิตาเลียน อันเดรอา มันเตนญา (Andrea
Mantegna)
ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre) กรุงปารีส ฝรั่งเศส
Minerva
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนฉากไม้ เขียนในปี 1510 โดยศิลปินอิตาเลียน ฟรา บาร์โตโลเมโอ (Fra Bartolomeo)
เป็นภาพเขียนในรูปแบบที่แปลก และโบราณมากๆ
ของมหาเทวีอธีนา เพราะดูเผินๆ ราวกับภาพของพระแม่มารีย์
หรือไม่ก็นักบุญหญิงท่านใดท่านหนึ่ง ที่นิยมเขียนกันในโบสถ์คริสต์
งดงาม ล้ำค่า และหาชมได้ยากโดยแท้ครับ
ปัจจุบัน จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ร์ (Louvre) กรุงปารีส ฝรั่งเศส
Pallas Athena
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ เขียนในปี 1539
โดยศิลปินอิตาเลียน
ปาร์มิจิอานิโน (Parmigianino) หรือชื่อเต็มว่า จิโรลาโม ฟรันเชสโค มารีอา มัซโซลา (Girolamo Francesco Maria Mazzola 1503–1540)
ปาร์มิจิอานิโน (Parmigianino) หรือชื่อเต็มว่า จิโรลาโม ฟรันเชสโค มารีอา มัซโซลา (Girolamo Francesco Maria Mazzola 1503–1540)
อีกภาพหนึ่ง ที่ดูแล้วทำให้นึกถึงภาพของพระแม่มารีย์ หรือนักบุญหญิงที่นิยมเขียนกันในโบสถ์คริสต์มากๆ
ที่สำคัญคือ ไม่ค่อยมีใครนำมาเผยแพร่กันครับ
เพราะอยู่ในคลังสะสมที่ไม่ง่ายต่อการที่สาธารณชน จะเข้าชมได้อย่างพิพิธภัณฑ์ทั่วไป
และนับจากนี้ไป ก็จะไม่ศิลปินท่านใด-ยุคใด
เขียนภาพของมหาเทวีอธีนาออกมาในรุปแบบนี้อีกเลยครับ
ปัจจุบัน เป็นสมบัติของ Royal
Collection Windsor
Head of Minerva
ภาพจิตรกรรมสีชอล์คบนกระดาษ เขียนเมื่อปี 1540
โดยศิลปินอิตาเลียน จิอูลิโอ โคลวิโอ (Giulio Clovio)
ซึ่งแสดงอิทธิพลจากงานของ มิเคลันเจโล (Michelangelo : โดยทั่วไปนิยมเรียกว่า ไมเคิลแองเจโล)
ซึ่งแสดงอิทธิพลจากงานของ มิเคลันเจโล (Michelangelo : โดยทั่วไปนิยมเรียกว่า ไมเคิลแองเจโล)
โดยเฉพาะภาพลายเส้นของ พระนางคลิโอพัตรา
(Cleopatra)
ที่มิเคลันเจโลเขียนให้กับ โตมาโซ เด คาวาลิเอรี (Tommaso
de Cavalieri)
ปัจจุบัน เป็นสมบัติของ Royal
Collection Windsor
Athena scorning the Advances of Hephaestus
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ โดยศิลปินอิตาเลียน ปาริส
บอร์โดเน (Paris Bordone 1500-1571)
ภาพนี้เรียกกันอีกอย่างว่า The Rape
of Athena เพราะบรรยายเหตุการณ์ตอนที่มหาเทววีอธีนาเสด็จไปหา
เทพฮีฟีสตุส (Ήφαιστος) เพื่อจ้างพระองค์ทำเสื้อเกราะให้
แต่ก่อนที่พระนางจะเสด็จไปถึง สมุทรเทพโพไซดอน
(Poseidon/Ποσειδώνας)
ทรงหลอกลวงนายช่างแห่งสวรรค์ว่า พระนางเสด็จไปเพื่อจะเสพสังวาสด้วย
เมื่อเทพฮีฟีสตุสสร้างชุดเกราะเสร็จ
พระองค์จึงโถมเข้าหาองค์เทวีเพื่อจะปลุกปล้ำ พระนางทรงกริ้วมาก
ทรงผลักนายช่างแห่งสวรรค์อย่างแรง แล้วเสด็จจากไป
ถ้างานนี้ พระนางทรงถืออาวุธไปด้วย
องค์นายช่างแห่งสวรรค์คงเสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบาครับ
ปัจจุบัน จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะและโบราณคดี
(Museum
of Art and Archaeology) มหาวิทยาลัยมิสซรี สหรัฐอเมริกา
Minerva crowns the Maid of Leiden
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ เขียนในปี 1650 โดยศิลปินชาวดัชต์ อับราฮัม ฟาน เดน เตมเปล
(Abraham
van den Tempel 1622–1672)
เป็นหนึ่งในประวัติราชวงศ์ผู้ครอง พระราชวังลาเกนฮัล (Lakenhal)
กรุงเลย์เดน (Leiden) เนเธอร์แลนด์ ระหว่างปี
1648-1651
ปัจจุบัน จัดแสดงที่ พิพิธภัณฑ์สเลเดอลิกแห่งพระราชวังลาเกนฮัล
(Stedelijk
Museum de Lakenhal) เนเธอร์แลนด์
Minerva and the Arts
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ โดยศิลปินฝรั่งเศส หลุยส์ บูลโลญจ์ (Luis
Boullogne 1654-1733)
เป็น “ภาพเดี่ยว” ของมหาเทวีอธีนา
ที่โดยส่วนตัวผมชอบที่สุดครับ
เพราะเขียนท่านได้เต็มองค์อย่างงามสง่าแบบเรียบง่ายดี
ปัจจุบัน จัดแสดงที่พระราชวังฟองแตนโบล (Fontainebleau) ฝรั่งเศส
Pallas Athene
หรือบางทีก็เรียกกันว่า Armoured
Figure ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ ที่เขียนขึ้นในปี
1655 โดยศิลปินโปรตุเกส เรมบรันด์ท์ ฮาร์เมนซ์ แวน รีน (Rembrandt
Harmensz van Rijn 1606-1669)
ถ้าเป็นมนุษย์ปุถุชน มิใช่เทพ
ภาพนี้ก็จะกลายเป็น Portrait ที่เยี่ยมยอดที่สุดภาพหนึ่ง เพราะดูสง่างาม
มีชีวิตจิตใจ และสมจริงในทุกองค์ประกอบ
ปัจจุบัน จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์คาลูสต์
ชิบูลเบงเกวียน (Calouste Gulbenkian) กรุงลิสบอน โปรตุเกส
Apollo crowned by Minerva
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ เขียนระหว่างปี
1667-68 โดยศิลปินฝรั่งเศส โนเอล กัวแปล (Noël Coypel 1628-1707)
ปกติ สุริยเทพอพอลโล (Apollo/Απόλλων) กับมหาเทวีอธีนา
จะไม่ค่อยญาติดีกันเท่าไหร่หรอกครับ
เพราะอุปนิสัยต่างกัน
องค์หนึ่งเจ้าชู้ระเบิดระเบ้อ อึกองค์ก็ไม่สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เอาซะเลย
แถมใน สงครามกรุงทรอย (Troy/Τροία) ยังถือหางกันคนละฝ่าย
สุริยเทพอพอลโลเป็นพี่ชายที่แสนดี เข้าข้าง มหาเทวีอโฟรดิตี (Aphrodite/Αφροδίτη) ผู้เป็นน้องสาว ที่เป็นต้นเหตุทำให้เฃารบกัน
จึงช่วยเหลือฝ่ายทรอย
ขณะที่มหาเทวีอธีนานั้น
แน่นอนละครับว่าต้องเข้าข้างฝ่ายกรีก
แต่ก็มีภาพเหตุการณ์
ที่แสดงถีงความปรองดองระหว่างมหาเทพทั้งสอง เช่นภาพนี้ ซึ่งนับว่าหาดูได้ยากครับ
ปัจจุบัน จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ร์ (Louvre) กรุงปารีส ฝรั่งเศส
The Birth of Minerva
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ เขึยนในปี 1688 โดยศิลปินฝรั่งเศส เรอเน-อองตวน อูอาสเซอ (René-Antoine
Houasse 1645–1710) ซึ่งกล่าวได้ว่า
เป็นศิลปินยุโรปสมัยคริสตศตวรรษที่ 17-18 หรือยุคบาโรก (Baroque) ที่รังสรรค์ผลงานเกี่ยวแก่มหาเทวีอธีนาไว้มากที่สุด
ซึ่งในยุคของเขานั้น
งานศิลป์เล่าเรื่องเทพนิยายกรีก-โรมัน ได้รับความนิยมมากก็จริง
แต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของทวยเทพและวีรบุรุษ
มีแต่อูอาสเซอนี่แหละครับ ที่เขียนเรื่องของมหาเทวีอธีนาไว้หลายชิ้น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความรักโรแมนติก แต่ก็ยังคงเป็นที่ชื่นชอบชองชนชั้นสูงจำนวนมาก
มีแต่อูอาสเซอนี่แหละครับ ที่เขียนเรื่องของมหาเทวีอธีนาไว้หลายชิ้น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความรักโรแมนติก แต่ก็ยังคงเป็นที่ชื่นชอบชองชนชั้นสูงจำนวนมาก
ปัจจุบัน
จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์พระราชวังแวร์ซายส์ (Musée National des Châteaux
de Versailles et de Trianon)
ซึ่งแม้ว่าจะเป็นคุณสมบัติของพระนางที่ชาวยุโรปรู้กันเป็นอย่างดี แต่ก็กลับมีศิลปินเพียงไม่กี่คนที่นำเสนอภาพของพระนางในแง่นี้
ปัจจุบัน จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์พระราชวังแวร์ซายส์ (Musée National des Châteaux de Versailles et de Trianon) ฝรั่งเศส
Minerva teaching the Rhodians Sculpture
มหาเทวีอธีนาทรงสอนประติมากรชาวโรดส์ (Rhodes) ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ อีกชิ้นหนึ่งของ René-Antoine Houasse เขึยนในปี 1688
เป็นภาพที่แสดงถึงทิพยภาวะของพระนาง
ในฐานะคุรุเทพแห่งศิลปวิทยาการครับ
ซึ่งแม้ว่าจะเป็นคุณสมบัติของพระนางที่ชาวยุโรปรู้กันเป็นอย่างดี แต่ก็กลับมีศิลปินเพียงไม่กี่คนที่นำเสนอภาพของพระนางในแง่นี้
ปัจจุบัน จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์พระราชวังแวร์ซายส์ (Musée National des Châteaux de Versailles et de Trianon) ฝรั่งเศส
The Dispute of Minerva and Neptune
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ อีกชิ้นหนึ่งของ René-Antoine Houasse ซึ่งซึ่งเขียนขึ้นในปี 1689
ปัจจุบัน จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์พระราชวังแวร์ซายส์
(Musée
National des Châteaux de Versailles et de Trianon)
Minerva giving her Shield to Perseus
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ อีกชิ้นหนึ่งของ René-Antoine Houasse ซึ่งซึ่งเขียนขึ้นในปี 1697
เพอร์ซีอุส (Perseus/Περσεύς) คือวีรบุรุษผู้ช่วยเหลือ เจ้าหญิงอันโดรเมดา
(Andromeda/Ανδρομέδα)
ซึ่งชาวเอธิโอเปียมอบให้เป็ยเครื่องสังเวยแก่ อสุรการคราเคน
(Kraken/Κράκεν)
และวิธีที่จะปราบอสุรกายตนนี้ คือต้องใช้ดวงตาของ จอมอสุรีเมดูซา (Medusa/Μέδουσα) ซึ่งสามารถสะกดสิ่งมีชีวิตทุกชนิดให้กลายเป็นหิน
และวิธีที่จะปราบอสุรกายตนนี้ คือต้องใช้ดวงตาของ จอมอสุรีเมดูซา (Medusa/Μέδουσα) ซึ่งสามารถสะกดสิ่งมีชีวิตทุกชนิดให้กลายเป็นหิน
องค์มหาเทวีจึงทรงให้เพอร์ซีอุสยืมโล่ของพระนาง
เพื่อเขาจะได้ปราบเมดูซาและตัดศีรษะของนางมาได้ ด้วยการมองนางผ่านเงาสะท้อนบนโล่
โดยไม่ต้องมองหน้านางตรงๆ
ปัจจุบัน
จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์พระราชวังแวร์ซายส์ (Musée National des Châteaux
de Versailles et de Trianon)
The Apotheosis of Hercules
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ อีกชิ้นหนึ่งของ Noël Coypel ซึ่งเขียนขึ้นในปี 1700
ภาพนี้ แม้ว่ามหาเทวีอธีนาจะเป็นตัวประกอบ
แต่ด้วยฉลองพระองค์อันป็นเอกลักษณ์ ก็ทำให้พระนางเป็นจุดสนใจจุดหนึ่งของภาพ
ปัจจุบัน
จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์พระราชวังแวร์ซายส์ (Musée National des Châteaux
de Versailles et de Trianon)
Minerva and the Triumph of Jupiter
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ อีกชิ้นหนึ่งของ René-Antoine Houasse ซึ่งเขียนขึ้นในปี 1706
ปัจจุบัน
จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์พระราชวังแวร์ซายส์ (Musée National des Châteaux
de Versailles et de Trianon)
Athena leads Mars away from the Goddess Venus
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ
เขียนขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 18 โดยศิลปินฝรั่งเศส หลุยส์ ฌอง ฟรองซัวส์ ลาเกรอเน
(Louis-Jean-François
Lagrenée 1724-1805)
ภาพนี้สื่อความหมายว่า “การทำลายความหลงผิด อันเกิดจากตัณหา
ต้องทำด้วยคุณธรรม”
แต่ในเทพนิยาย มหาเทวีอธีนาไม่เคยแยกคู่นี้ออกจากกันได้สำเร็จ
ก็คนเป็นชู้กัน ใครที่ไหนจะคิดเรื่องเหตุผล
หรือความถูกต้องชอบธรรมล่ะครับ?
อีกอย่าง ในทางโหราศาสตร์
พระอังคารกับพระศุกร์นี่ เป็นดาวคู่มิตรกัน ตัณหาก็แรงพอกัน
ปัจจุบัน เป็นสมบัติของ Prague
Castle กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ค
ปัจจุบัน จัดแสดงที่สถาบันศิลปะมินเนอาโปลิส (Minneapolis
Institute of Arts) สหรัฐอเมริกา
Hera, Athena and Iris in the Trojan War
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ
เขียนในช่วงคริสตศตวรรษที่ 18 โดยศิลปินฝรั่งเศส
ฌาก เรอัตตู (Jacques
Réattu 1760-1833)
ในภาพนี้ เทวีไอริส (Ίρις) ทรงได้รับเทวโองการจาก จอมเทพซีอุส (Ζεύς)
ให้พยายามห้ามปรามมหาเทวีอธีนา และ พระเทวีเฮรา (Ήρα)
มิให้ช่วยเหลือกองทัพกรีกในสงครามกรุงทรอย แต่ก็ไม่สำเร็จ
Prometheus modeling Man with Clay
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ เขียนในปี 1743 โดยศิลปินอิตาเลียน ปอมเปโอ จิโรลาโม บาโตนี
(Pompeo
Girolamo Batoni 1708-1787)
หาชมได้ยากมากๆ ครับ
เพราะเป็นเรื่องราวของมหาเทววีอธีนาที่ไม่ค่อยมีใครนำมาเผยแพร่กัน
คือตอนที่ เทพยิดรโพรมีธีอุส (Προμηθέας)
ทรงสร้างมนุษย์คนแรก มหาเทววีอธีนาได้ประทานดวงวิญญาณให้
ในรูปของผีเสื้อที่อยู่ในพระพัตถ์ว้ายของพระนาง
ปัจจุบัน อยู่ในคลังสะสมส่วนบุคคล
The Combat of Mars and Minerva
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ เขึยนในปี 1771
โดยศิลปินฝรั่งเศส ฌาก-หลุยส์ ดาวีด์ (Jacques-Louis
David 1748-1825)
ภาพนี้งามสะใจ สาวกมหาเทวีอธีนาอย่างผมมาก
ส่วนเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง ผมค่อนข้างเฉยๆ
ก็เพราะเป็นเทพนิยาย ไม่ใช่เรื่องจริงน่ะครับ
เรื่องจริงก็คือ เทพอารีส (Ares/Άρης พระนามโรมันว่า Mars)เป็นเทพสงคราม
ท่านได้รับการบูชาอย่างมาก ในยุคที่นครรัฐต่างๆ ของกรีก กำลังก่อร่างสร้างตัว
ด้วยการทำสงคราม
แต่เทพนิยายของท่านส่วนมาก
เกิดในยุคที่นครรัฐเหล่านั้นมีความมั่นคง และค่อนข้างจะสุขสบายแล้ว
ปัญญาชน และกวี
ซึ่งเป็นผู้เผยแพร่เรื่องราวของท่าน ล้วนรังเกียจสงคราม
ท่านจึงโดนแต่งนิยายปรักปรำเสียๆ หายๆ
เช่นเดียวกับเทพสำคัญองค์อื่นๆ ในโอลิมปัส
ส่วนมหาเทวีอธีนา มีเรื่องราวเสียหายน้อยที่สุด
เพราะเป็นเทพแห่งคุณธรรม ความถูกต้อง ทั้งยังทรงเป็นเทพมารดรแห่งเอเธนส์
ซึ่งเป็นนครรัฐสำคัญ และนครรัฐอื่นก็นับถือ
ปัจจุบัน จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ร์ (Louvre) กรุงปารีส ฝรั่งเศส
The Combat of Mars and Minerva
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ เขึยนในปี 1771
โดยศิลปินฝรั่งเศสโฌแซฟ-เบอนัวต์ ซูเว (Joseph-Benoit
Suvée 1743-1807)
ครับ, เนื้อหาเดียวกัน เขียนปีเดียวกันกับดาวีด์ การเล่าเรื่องก็เหมือนกัน
เพราะทั้งในภาพของดาวีด์และภาพนี้ เทพอารีสกำลังเป็นฝ่ายปราชัย โดยมหาเทวีอโฟรดิตีพยายามช่วยเหลือ และปกป้องชู้รักของพระนางอยู่ ต่างกันที่ในผลงานของซูเว มีคิวปิดองค์น้อยมาช่วยห้ามด้วย
ทั้งสองภาพนี้ จึงเป็นการนำเสนอแนวคิดของศิลปิน
โดยสื่อความหมายว่า องค์มหาเทวีอธีนาทรงเป็นสัญลักษณ์ของคุณธรรม และความถูกต้อง
ที่เข้ามาทำลายตัณหาราคะอันผิดทำนองคลองธรรม ของเทพอารีสกับมหาเทวีอโฟรดิตี
ปัจจุบัน จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ (Musée
des Beaux-Arts) เมืองลีย์ (Lille) ฝรั่งเศส
Minerva between Apollo and Mercury
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ เขึยนในระหว่างปี
1814-15 โดยสิลปินหญิงฃาวฝรั่งเศส อานน์-หลุยส์ จิโรเดต์-ตริโอซง
(Anne-Louis
Girodet-Trioson 1767–1824)
เธอไม่ใช่ศิลปินระดับแถวหน้าของวงการหรอกครับ
ผลงานที่ออกมาเลยดูแปลกๆ ไม่ลงตัวเท่าไหร่
อย่างภาพนี้ ที่เธอจัดให้มหาเทวีอธีนา
อยู่ระหว่างเทพบุตร 2 องค์ ซี่งไม่มีคติหรือเทพนิยายอะไรรองรับเลย
ทั้งยังเป็นที่รู้กันว่า ใน มหากาพยอีเลียด (Iliad/Ιλιάδα) และ
โอดิสซี (Odyssey/Ὀδύσσεια) ทั้ง 3
องค์หนุนหลังคนละฝ่ายกันด้วยซ้ำ
กล่าวคือ มหาเทวีอธีนา
กับ เทพเฮอร์มีส (Hermes/Ερμής : พระนามโรมันว่า Mercury) เข้าข้างกรีก ขณะที่สุริยเทพอพอลโลเข้าฃ้างทรอยครับ
ปัจจุบัน เป็นสมบัติของ Château
de Compiègne ฝรั่งเศส
The Law descends to the Earth
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ เขียนในปี 1827 โดยศิลปินฝรั่งเศส มิแชล มาร์แต็ง ดรอลแล็ง
(Michel
Martin Drolling 1786-1851)
ในภาพ จะเห็น มหาเทวีไซบีลี (Cybele/Κυβέλη)
ประทับยืนบนราชรถ ซึ่งมีมหาเทวีอธีนาเป็นสารถี และมีเทพเฮอร์มีส
ในฐานะเทพแห่งการสื่อสารเสด็จตามมาด้วย
ภาพนี้ ทำให้ดูเหมือนมหาเทวีไซบีลีจะทรงมีบารมียิ่งใหญ่กว่ามหาเทวีอธีนา
ซึ่งก็เป็นเพราะเทพนารีองค์นี้ทรงเป็นที่นับถือกันมาตั้งแต่แรกเริ่มอารยธรรมกรีก
และแม้จะไม่ทรงมีบทบาทในเทพนิยายมากนัก แต่ในทางจิตวิญญาณแล้ว ชาวกรีก-โรมันก็นับถือพระนางไม่น้อยไปกว่ามหาเทวีอธีนาเลยครับ
และแม้จะไม่ทรงมีบทบาทในเทพนิยายมากนัก แต่ในทางจิตวิญญาณแล้ว ชาวกรีก-โรมันก็นับถือพระนางไม่น้อยไปกว่ามหาเทวีอธีนาเลยครับ
ปัจจุบัน จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ลูหว์ร์ (Louvre) กรุงปารีส ฝรั่งเศส
Pallas Athena
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ ที่เขียนขึ้นในปี
1827 โดยศิลปินชาวเยอรมัน คาร์ล ฟรีดริช ชิงเคล (Karl
Friedrich Schinkel 1781–1841)
ผมว่า แม้แต่แฟนพันธุ์แท้ของเทพนารึองค์นี้
ก็คงจะมีไม่กี่คนหรอกครับ ที่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน
จึงเป็นภาพทรงคุณค่าภาพหนึ่ง สำหรับทุกคนที่รักพระแม่เจ้าองค์นี้
ปัจจุบันอยู่ที่ Wilhelmplatz 9 กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี
Griechische Antike
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ เขียนขึ้นในปี 1891
โดยศิลปินชาวออสเตรีย กุชตาฟ คลิมต์ (Gustave
Klimt 1862-1918)
ปัจจุบัน จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ
(Kunsthistorisches
Museum) กรุงเวียนนา ออสเตรีย
Pallas Athene
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ
ที่เขียนขึ้นในปี1898 โดย Gustave Klimt เช่นเดียวกัน แต่เป็นการเขียนในสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาอย่างแท้จริง
และได้รับความนิยมมากแล้ว
ปัจจุบัน จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ
(Kunsthistorisches
Museum) กรุงเวียนนา ออสเตรีย
Pallas Athena
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ เขียนขึ้นก่อนปี
1911 โดยศิลปินฝรั่งเศส หลุยส์ เตโอฟีเลอ แองเกรอ
(Louis
Théophile Hingre 1832-1911)
เป็นงานศิลปะในสไตล์ที่เรียกกันว่า อาร์ต นูโว (Art Nouveau) คือใช้รูปแบบธรรมชาติ
โดยเฉพาะดอกไม้และพืชพรรณต่าง ๆ มาทำเป็นลวดลายอันอ่อนช้อย ใช้สีสันที่ทำให้ดูบอบบาง
ให้ความรู้สึกถึงความเป็นผู้หญิง และมักจะเขึยนเป็นรูปผู้หญิงด้วย
Athena
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันบนแผ่นไม้สน เขียนขึ้นในปี
1914 โดยศิลปินชาวโปแลนด์ เฟลิกซ์
มิคาล วิกร์ซีวัลสกี (Feliks
Michal Wygrzywalski 1875-1944)
เป็นผลงานที่เกิดขึ้นในยุคที่ศิลปินพยายามจับประเด็น
และนำเสนอเทพปกรณัมในแง่มุมใหม่ๆ และด้วยวิธีการหรือลูกเล่นที่ไม่ซ้ำซากจำเจ
ทำให้เป็นงานศิลป์เกี่ยวแก่มหาเทวีอธีนา ที่แปลกมากกว่าสวยครับ
ปัจจุบัน อยู่ในคลังสะสมส่วนบุคคล
ครับ, นับจากนี้ก็จะเป็นผลงานของศิลปินยุคหลังๆ
ที่รูปแบบและรสนิยมทางศิลปะไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว และผมก็ตั้งใจไว้ว่า
จะรวมรวมในแบบที่เป็น Illustration หรือไม่ก็ Digital
Art ในยคปัจจุบันนี้แทน ซึ่งน่าสนใจกว่าเยอะ ก็ขอให้ติดตามกันไปเรื่อยๆ นะครับ
...................................